Sign In
ข่าว ก.ล.ต.

ก.ล.ต. เผยผลงานวิจัย มก. ชี้พฤติกรรมผู้ลงทุนไทยที่ลงทุนซื้อขายหลักทรัพย์ตามกระแสเสี่ยงขาดทุนสูง



วันศุกร์ที่ 24 เมษายน 2558 | ฉบับที่ 52 / 2558



ก.ล.ต. เผยแพร่ผลงานวิจัยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัด SEC Working Papers Forum ครั้งที่ 3/2558 ในหัวข้อ ?พฤติกรรมนักลงทุนตามกระแส (noise trader) ในตลาดหุ้นไทย?

นายชาลี จันทนยิ่งยง รองเลขาธิการ รักษาการเลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า งานสัมมนา SEC Working Papers Forum ครั้งที่ 3/2558 ก.ล.ต. เผยแพร่ผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เกี่ยวกับสภาพคล่องและพฤติกรรมผู้ลงทุนตามกระแส (noise trader) ในตลาดหุ้นไทย ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการศึกษาข้อมูลและการประเมินมูลค่าพื้นฐานของหลักทรัพย์ให้รอบคอบก่อนการตัดสินใจลงทุน เพื่อลดความเสี่ยงในการซื้อขายหลักทรัพย์

ผศ.ดร. ธนโชติ บุญวรโชติ นักวิจัยจากคณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเผยถึงผลงานวิจัยเรื่องแรก ?ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราผลตอบแทน ปริมาณซื้อขายหลักทรัพย์ของนักลงทุนและความผันผวนของอัตราผลตอบแทน ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย? งานวิจัยนี้ใช้แบบจำลองเพื่อศึกษาหาความสัมพันธ์ระหว่างอัตราผลตอบแทน (return) ความผันผวนของอัตราผลตอบแทน (volatility) และปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ (volume) ของผู้ลงทุนแต่ละประเภทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เพื่อวิเคราะห์หาโอกาสในการเกิดความเสี่ยงจากการซื้อขายหลักทรัพย์ตามกระแส (noise trading risks) พบว่า มีความเสี่ยงจากการซื้อขายหลักทรัพย์ตามกระแสใน SET แสดงให้เห็นว่าดัชนี SET ได้รับอิทธิพลจากปัจจัยอื่นที่ไม่ใช่ปัจจัยพื้นฐานในระดับสูง เช่น ปริมาณการซื้อขาย ซึ่งแตกต่างจากตลาดหลักทรัพย์ในสหรัฐอเมริกา ที่การเพิ่มขึ้นหรือลดลงของดัชนีตลาดได้รับอิทธิพลส่วนใหญ่จากปัจจัยพื้นฐาน

งานวิจัยเรื่องที่สองเกี่ยวกับ ?การวิเคราะห์พฤติกรรมแบบ Noise Traders ของนักลงทุนภายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย? ซึ่งได้เคยศึกษาวิจัยไปแล้วเมื่อปี 2553 และสรุปผลว่า ผู้ลงทุนรายย่อยมีแนวโน้มพฤติกรรมลงทุนตามกระแสนั้น ต่อมาได้ทำวิจัยเพิ่มเติมและได้ข้อสรุปใหม่ คือ พฤติกรรมการลงทุนของผู้ลงทุนทุกประเภทใน SET เป็นผู้ลงทุนที่ทำการบ้านอย่างดีก่อนการตัดสินใจซื้อขาย (informed traders) อย่างไรก็ตาม เมื่อวัดผลตอบแทนการลงทุนของผู้ลงทุนแต่ละประเภท ปรากฏว่า ผลตอบแทนการลงทุนของผู้ลงทุนต่างประเทศมีค่าสูงสุด ขณะที่ผู้ลงทุนรายย่อยมีผลตอบแทนการลงทุนต่ำสุด เนื่องจากข้อจำกัดที่เกิดจากวิธีการส่งคำสั่ง โดยผู้ลงทุนสถาบันส่งคำสั่งซื้อขายโดยใช้ราคาตลาด (market order) ขณะที่ผู้ลงทุนรายย่อยส่งคำสั่งซื้อขายโดยวิธีระบุราคา (limit order) จึงได้รับผลกระทบจากความผันผวนของราคาหลักทรัพย์มากกว่า