สำหรับหลักเกณฑ์ใหม่ที่จะประกาศใช้ จะกำหนดให้ผู้ขอใบอนุญาตและผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ทุกประเภท
ซึ่งรวมถึงธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการค้าหลักทรัพย์ การจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ธุรกิจหลักทรัพย์ที่มีการลงทุนในหลักทรัพย์ด้วยตนเอง
และธุรกิจหลักทรัพย์ที่มีการเก็บรักษาทรัพย์สินของลูกค้าไว้ในความครอบครอง ที่เดิมต้องมีทุนจดทะเบียนซึ่งชำระแล้ว
100 ล้านบาท ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ทุนจดทะเบียนชำระแล้วโดยสรุปได้ดังนี้
(1) 100 ล้านบาท สำหรับ การประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ที่มีภาระความรับผิดชอบต่อระบบชำระราคาและการส่งมอบหลักทรัพย์
(2) 25 ล้านบาท
สำหรับการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ที่มีการเก็บรักษาทรัพย์สินของลูกค้าไว้ในความครอบครอง
(3) 25 ล้านบาท
สำหรับการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการกองทุนรวมหรือการจัดการกองทุนส่วนบุคคล
ที่ให้บริการแก่ผู้ลงทุนที่มิใช่ผู้ลงทุนสถาบัน
(4) 10
ล้านบาท สำหรับการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัดการกองทุนรวมหรือการจัดการกองทุนส่วนบุคคล
ที่ให้บริการเฉพาะแก่ผู้ลงทุนสถาบัน
(5) 1 ล้านบาท สำหรับการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทอื่น
ๆ
นางปะราลี สุคนธมาน ผู้ช่วยเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(ก.ล.ต.) กล่าวว่า “การกำหนดทุนจดทะเบียนชำระแล้วให้เหมาะสม
โดยให้เป็นไปตามรูปแบบการประกอบธุรกิจและระดับความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจที่ผู้ประกอบการเลือกจะช่วยลดภาระผู้ประกอบการ
โดยเฉพาะการประกอบธุรกิจในขนาดเล็กหรือใช้ต้นทุนต่ำ รวมทั้งเอื้อต่อการพัฒนาธุรกิจรูปแบบใหม่เพื่อตอบโจทย์ผู้ลงทุน”
นอกจากนี้ การกำหนดทุนจดทะเบียนชำระแล้วเป็นเพียงการกำหนดทุนเริ่มแรก
(initial capital requirement) สำหรับผู้ประสงค์จะเข้ามาประกอบธุรกิจ
และเมื่อเริ่มประกอบธุรกิจผู้ได้รับใบอนุญาตยังต้องดำรงเงินกองทุน (on-going)
ซึ่งสะท้อนตามความเสี่ยงของการประกอบธุรกิจตามเกณฑ์ที่กำหนดด้วย