สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวโทษอดีตกรรมการและผู้บริหารบริษัท {หนึ่ง} กับพวก รวม 4 ราย ได้แก่ (1) {ก} ขณะเกิดเหตุ เป็นรองประธานกรรมการ รองประธานกรรมการบริหาร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการของบริษัท {หนึ่ง} (2) {ข} ขณะเกิดเหตุ เป็นกรรมการบริหาร รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป และเลขานุการของบริษัท {หนึ่ง} (3) {ค} และ (4) {ฆ} กรณีร่วมกันกระทำทุจริตต่อหน้าที่เป็นเหตุให้บริษัท {หนึ่ง} ได้รับความเสียหาย

ทั้งนี้ บุคคลทั้ง 4 รายได้ร่วมกันทำให้บริษัท {หนึ่ง} เข้าซื้อที่ดินและอาคารสำนักงาน 7 ชั้น เพื่อใช้เป็นสำนักงานแห่งใหม่ในราคา 60 ล้านบาท จาก {ค} อย่างไรก็ดี จากการตรวจสอบพบข้อเท็จจริงทำให้เชื่อได้ว่า มีการจ่ายค่าซื้อที่ดินและอาคารสำนักงานที่แท้จริงเพียง 40 ล้านบาท โดยเงินจำนวน 20 ล้านบาท ได้ถูกนำไปใช้เพื่อประโยชน์ของ {ก} และ {ฆ} พฤติกรรมดังกล่าวจึงเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายเพื่อตนเองหรือผู้อื่น 

การกระทำของอดีตกรรมการและผู้บริหารบริษัท {หนึ่ง} และพวกรวม 4 รายข้างต้น เข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 307 มาตรา 311 มาตรา 313 และมาตรา 315 แห่ง พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ พ.ศ. 2535 ประกอบมาตรา 83 และมาตรา 86

แห่งประมวลกฎหมายอาญา แล้วแต่กรณี ก.ล.ต. จึงกล่าวโทษบุคคลทั้ง 4 ราย ต่อ บก.ปอศ. เพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป พร้อมกันนี้ ก.ล.ต. ยังได้แจ้งการดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ข้างต้น ต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

อนึ่ง การกล่าวโทษของ ก.ล.ต. เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกระบวนการบังคับใช้กฎหมายทางอาญาเท่านั้น ภายใต้กระบวนการนี้ การพิจารณาวินิจฉัยว่าบุคคลใดเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายเป็นขั้นตอนในอำนาจการสอบสวนของพนักงานสอบสวน และการสั่งฟ้องคดีของพนักงานอัยการ ตลอดจนดุลพินิจของศาลยุติธรรม ตามลำดับ 

________________________________