สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตรวจสอบเพิ่มเติม พบข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานทำให้เชื่อได้ว่า บุคคล 6 ราย กระทำการที่เข้าข่ายเป็นความผิดเกี่ยวกับการขายหุ้นโดยอาศัยข้อมูลภายในที่ตนรู้หรือครอบครอง ได้แก่ (1) นางฉัตรแก้ว (ขณะกระทำความผิดดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการและกรรมการบริหาร PTG) ได้ล่วงรู้ข้อมูลภายในที่ส่งผลกระทบด้านลบต่อราคาหุ้น PTG เกี่ยวกับข้อมูลผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2561 ของ PTG ที่มีกำไรสุทธิลดลงอย่างมีนัยสำคัญ อันเนื่องจากรายได้จากการขายและการให้บริการลดลงและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งภายหลังการล่วงรู้ข้อมูลภายในดังกล่าว นางฉัตรแก้วได้ขายหุ้น PTG ของตนเองผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของ (2) นางสาวลภัสอร (3) นายสหัสชัย และ (4) นายเขมภพ ก่อนที่ PTG จะเปิดเผยข้อมูลภายในดังกล่าวต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2561
นอกจากนี้ นางฉัตรแก้วได้เปิดเผยข้อมูลภายในแก่ (5) นางกชกรณ์ ซึ่งนางกชกรณ์ได้นำข้อมูลภายในดังกล่าวไปใช้ขายหุ้น PTG ผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของตนเอง และ (6) นายธราธร ได้ล่วงรู้ข้อมูลภายในดังกล่าวและได้ขายหุ้น PTG ผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของตนเองก่อนที่ PTG จะเปิดเผยข้อมูลภายในดังกล่าวต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยด้วยเช่นกัน
การกระทำของนางฉัตรแก้ว นางกชกรณ์ และนายธราธร เป็นความผิดฐานขายหุ้น PTG โดยอาศัยข้อมูลภายในตามมาตรา 242(1) ประกอบมาตรา 243(1) มาตรา 244(4) หรือมาตรา 244(5) แล้วแต่กรณี ซึ่งมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 296 และมาตรา 296/2 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535
นอกจากนี้ การกระทำของนางฉัตรแก้วเป็นความผิดฐานเปิดเผยข้อมูลภายในตามมาตรา 242(2) ซึ่งมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 296 และมาตรา 296/2 แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกันด้วย
ส่วนการกระทำของนางสาวลภัสอร นายสหัสชัย และนายเขมภพ เป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานขายหุ้น PTG โดยอาศัยข้อมูลภายในตามมาตรา 315 ประกอบมาตรา 242(1) ซึ่งมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 296 และมาตรา 296/2 แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกัน
คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) มีมติให้นำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้บังคับ* กับผู้กระทำความผิดทั้ง 6 ราย ดังกล่าว โดยกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่ง ได้แก่ ค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้เงินในจำนวนเท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงได้รับ ชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์ ดังนี้
1) ให้นางฉัตรแก้ว ชำระค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้เงินในจำนวนเท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับ และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 42,154,171 บาท และกำหนดมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร เป็นเวลา 31 เดือน
2) ให้นางสาวลภัสอร นายสหัสชัย และนายเขมภพ ชำระค่าปรับทางแพ่ง และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด เป็นเงินรวมทั้งสิ้นรายละ 537,586 บาท และกำหนดมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร เป็นเวลารายละ 20 เดือน
3) ให้นางกชกรณ์ ชำระค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้เงินในจำนวนเท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับ และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิดเป็นเงินรวมทั้งสิ้น 4,187,731 บาท และกำหนดมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร เป็นเวลา 12 เดือน
4) ให้นายธราธร ชำระค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้เงินในจำนวนเท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับ และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิดเป็นเงินรวมทั้งสิ้น 3,586,333 บาท และกำหนดมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร เป็นเวลา 12 เดือน
การกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารดังกล่าวข้างต้นจะมีผลนับตั้งแต่วันที่ผู้กระทำความผิดลงนามในบันทึกการยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนด หากผู้กระทำความผิดไม่ยินยอม ก.ล.ต. จะมีหนังสือขอให้พนักงานอัยการดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลแพ่งเพื่อกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่งในอัตราที่อัตราสูงสุดที่กฎหมายบัญญัติโดยไม่ต่ำกว่าอัตราที่ ค.ม.พ. กำหนด
ทั้งนี้ เงินค่าปรับทางแพ่งและเงินค่าชดใช้คืนผลประโยชน์ที่ได้รับจากการกระทำความผิดเป็นรายได้แผ่นดินที่นำส่งกระทรวงการคลัง
_________________________
หมายเหตุ : * มาตรา 317/1 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2559 ให้การกระทำความผิดอาญาตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวดำเนินมาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำความผิดได้
อ่านรายละเอียด “การดำเนินมาตรการลงโทษทางแพ่ง (Civil Sanctions)” ได้ที่ https://www.sec.or.th/TH/Pages/LawandRegulations/CivilPenalty.aspx